วิธีเลือกสแตนเลส Stainless Steel มาประกอบ Heat Exchanger

การเลือกใช้เกรดสแตนเลสสำหรับการประกอบ Heat Exchanger นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความทนทานต่อการกัดกร่อน อุณหภูมิการใช้งาน และลักษณะของของเหลวที่ต้องการแลกเปลี่ยนความร้อน ในกรณีของสแตนเลสเกรด 304 และ 316 ทั้งสองเกรดนี้มีคุณสมบัติที่ดีสำหรับการใช้งานใน Heat Exchanger แต่ก็มีความแตกต่างกันที่สำคัญ ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้:

เกรด 304

  1. ส่วนประกอบหลัก: มีส่วนผสมของโครเมียมประมาณ 18% และนิกเกิลประมาณ 8%.
  2. การทนทานต่อการกัดกร่อน: ทนต่อการกัดกร่อนทั่วไปได้ดี แต่ไม่ดีเท่าเกรด 316 ในสภาวะที่มีคลอไรด์สูง.
  3. การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมเคมีบางประเภท, และการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่รุนแรงมากนัก.

เกรด 316

  1. ส่วนประกอบหลัก: มีส่วนผสมของโครเมียมประมาณ 16%, นิกเกิลประมาณ 10%, และโมลิบดีนัมประมาณ 2-3%.
  2. การทนทานต่อการกัดกร่อน: มีการทนทานต่อการกัดกร่อนที่ดีกว่าเกรด 304 โดยเฉพาะในสภาวะที่มีคลอไรด์สูง เช่น น้ำทะเล และสภาพแวดล้อมที่มีกรดสูง.
  3. การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนสูง เช่น อุตสาหกรรมเคมี, โรงงานแปรรูปอาหาร, และการใช้งานทางทะเล.

ข้อพิจารณาในการเลือกใช้

  • ความทนทานต่อการกัดกร่อน: ถ้า Heat Exchanger จะถูกใช้งานในสภาวะที่มีคลอไรด์สูงหรือกรด เกรด 316 จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า.
  • อุณหภูมิการใช้งาน: ทั้งสองเกรดมีการทนทานต่ออุณหภูมิที่สูง แต่ถ้าใช้งานในสภาวะอุณหภูมิสูงมาก เกรด 316 อาจมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า.
  • ราคา: เกรด 316 มักจะมีราคาสูงกว่าเกรด 304 เนื่องจากมีส่วนผสมของนิกเกิลและโมลิบดีนัมมากกว่า.
 
ข้อพิจารณาในกรณีเป็นท่อสแตนเลส Stainless Pipe หรือ ทิวสแตนเลส Stainless Tube

การเลือกใช้ท่อสแตนเลสแบบ seamless สำหรับ Heat Exchanger นั้นมีข้อดีหลายประการ เนื่องจากการไม่มีรอยเชื่อม ทำให้ท่อมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น นอกจากนี้ยังลดโอกาสการเกิดการรั่วซึมและการกัดกร่อนในบริเวณรอยเชื่อมอีกด้วย เพื่อให้เลือกใช้ท่อแบบ seamless ได้เหมาะสม ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

ปัจจัยในการเลือกใช้ seamless stainless steel tube

  1. วัสดุของท่อ

    • เกรด 304: เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปที่ไม่มีการสัมผัสกับสารเคมีหรือคลอไรด์ที่รุนแรงมากนัก ทนต่อการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดและด่างที่ไม่รุนแรง
    • เกรด 316: เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนสูง เช่น การใช้งานในทะเล หรือการสัมผัสกับสารเคมีที่มีความเข้มข้นของคลอไรด์สูงกว่า
  2. ขนาดและความหนาของท่อ

    • การเลือกขนาดและความหนาของท่อควรพิจารณาตามการออกแบบของ Heat Exchanger และความต้องการในการรับแรงดันและการไหลของของเหลว
  3. ความทนทานต่ออุณหภูมิ

    • ต้องพิจารณาว่าท่อจะต้องทนทานต่ออุณหภูมิการใช้งานสูงหรือต่ำเพียงใด ท่อเกรด 316 มีการทนทานต่ออุณหภูมิสูงกว่าท่อเกรด 304
  4. มาตรฐานการผลิต

    • ควรเลือกใช้ท่อที่ผลิตตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ASTM, ASME, หรือ EN เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน
  5. ความสามารถในการทำความสะอาด

    • สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารและยา การทำความสะอาดที่ง่ายและสมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญ ท่อ seamless มักมีพื้นผิวภายในที่เรียบเนียน ทำให้ทำความสะอาดได้ง่ายกว่า

ข้อดีของ seamless tube สำหรับ Heat Exchanger

  • ความแข็งแรงสูง: เนื่องจากไม่มีรอยเชื่อม จึงสามารถทนต่อแรงดันได้ดีกว่า
  • ลดการกัดกร่อน: พื้นผิวที่เรียบเนียนและไม่มีรอยเชื่อม ลดโอกาสการเกิดการกัดกร่อนที่จุดรอยเชื่อม
  • ความปลอดภัยและเชื่อถือได้: ลดโอกาสการรั่วซึม ทำให้ระบบมีความปลอดภัยมากขึ้น

สรุป

การเลือกใช้ seamless tube สำหรับ Heat Exchanger ควรพิจารณาวัสดุที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น เกรด 304 สำหรับการใช้งานทั่วไป และเกรด 316 สำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนสูง นอกจากนี้ควรคำนึงถึงขนาดและความหนาของท่อ มาตรฐานการผลิต และความสามารถในการทนทานต่ออุณหภูมิ เพื่อให้ท่อที่เลือกใช้มีความเหมาะสมและประสิทธิภาพสูงสุดในระบบ Heat Exchanger ของคุณ.

 

โดยสรุป, การเลือกใช้เกรด 304 หรือ 316 สำหรับ Heat Exchanger ควรพิจารณาจากสภาพแวดล้อมการใช้งานและความต้องการในเรื่องของความทนทานต่อการกัดกร่อนและอุณหภูมิ.

 

Seamless stainless tube

Seamless stainless pipe

Seamless stainless tube 316 

Seamless stainless tube 304

Seamless stainless tube 316 สำหรับ Heat exchanger

Seamless stainless tube 304 สำหรับ Heat exchanger

ทิวสแตนเลส ไม่มีตะเข็บ 304

ทิวสแตนเลส ไม่มีตะเข็บ 316

ทิวสแตนเลส



บทความที่ได้รับความนิยม